ในโลกที่อะไรเปลี่ยนเร็วไม่ต่างจากเทรนด์ TikTok ธุรกิจร้านอาหารก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แม้หลายคนจะเชื่อว่าของกินคือ “ธุรกิจที่ปลอดภัย” แต่วันนี้นิยามคำว่า “ปลอดภัย” ไม่ได้หมายถึงการอยู่นิ่งเฉย และหวังให้ลูกค้าแวะเวียนมาเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วครับ

.

รายงานจาก ttb analytics ได้วิเคราะห์แนวโน้ม

ของตลาดร้านอาหารไทยในปี 2568 และชี้ให้เห็นภาพที่น่าสนใจว่า แม้จะเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีมูลค่ารวมสูงถึง 612,000 ล้านบาท แต่ในความโตนั้นแฝงด้วยแรงกดดัน และการแข่งขันที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

.

โอกาสเติบโตยังมี…แต่คู่แข่งก็เพิ่มไม่หยุดเหมือนกัน

แม้อาหารจะเป็นหนึ่งในสินค้าที่ผู้บริโภคยังคงต้องการเสมอและมีความสามารถในการปรับราคาขายได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อหันมามองฝั่งซัพพลาย สิ่งที่เห็นชัดคือ “ใครก็เปิดร้านได้” โดยไม่มีข้อจำกัด ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จำนวนร้านอาหารในไทยพุ่งจาก 333,000 ร้าน (ปี 2562) เป็น 405,000 ร้าน (ปี 2567)หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 22% สะท้อนการแข่งขันที่สูงขึ้น ไม่ใช่แค่จากเจ้าตลาดเดิม แต่รวมถึงผู้เล่นหน้าใหม่ ที่เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย นี่ยังไม่นับเทรนด์ Cloud Kitchen ที่เปิดช่องให้แม้แต่คนที่ไม่มีหน้าร้าน ก็สามารถเปิดแบรนด์อาหารของตัวเองขึ้นมาแข่งขันได้ ด้วยต้นทุนต่ำกว่าหลายเท่าตัว

.

เมื่อจุดแข็งของรายใหญ่…ไม่ใช่ข้อได้เปรียบอีกต่อไปในปัจจุบัน

ในอดีตการตั้งอยู่ในห้างใหญ่หรือทำเลทองใจกลางเมือง คือจุดขายสำคัญ แต่วันนี้ โซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มเดลิเวอรีกลับพลิกเกมทั้งหมด ร้านเล็กๆที่มีสตอรี่ชัดมีภาพสวย มีรีวิวดีๆ จากอินฟลูเอนเซอร์ กลับถูกพูดถึงมากกว่าแบรนด์ดังที่คงภาพลักษณ์เดิมไว้ จนกลายเป็นสิ่งที่ “คนคุ้นแต่ไม่ตื่นเต้น” ผู้เล่นขนาดกลาง และเล็กจำนวนมากสามารถเจาะตลาด Premium Mass หรือ Niche Market ได้ดีกว่า เพราะมีความยืดหยุ่นในการออกแบบเมนู ตั้งราคา และเล่าเรื่องให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง ในขณะที่แบรนด์ใหญ่กลับประสบความยากในการเคลื่อนไหว เช่น ปรับราคาตามความยินดีจ่ายของลูกค้าได้ลำบาก หรือทำแคมเปญที่หวือหวาไม่ได้ เพราะกลัวกระทบภาพลักษณ์ที่สะสมมานาน

.

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการแข่งขันระหว่าง “สุกี้ตี๋น้อย” และ “MK”

ในอดีต MK คือภาพจำของร้านสุกี้ในห้าง เป็นทางเลือกของครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนในวันพิเศษ แต่เมื่อ สุกี้ตี๋น้อย เข้ามาด้วยกลยุทธ์ราคาเข้าถึงง่าย บรรยากาศสนุกสนานแบบไม่ต้องฟอร์มเยอะและมีการวางแบรนด์ที่ตอบโจทย์การมากินแบบบ่อย ๆ ประกอบกับกลยุทธ์การตลาดในโลกโซเชียล ที่ “ขยี้ความธรรมดาให้กลายเป็นกระแส” ก็ทำให้ร้านนี้กลายเป็นจุดรวมของคนรุ่นใหม่ได้ในเวลาไม่นาน MK เองก็เริ่มมีการปรับตัว เช่น เปิดแบรนด์รองที่เข้าถึงง่ายขึ้น หรือออกเมนูใหม่ที่กินคนเดียวได้ แต่อย่างไรก็ตาม ภาพจำของ MK ในใจลูกค้า ยังอาจติดอยู่กับโหมด “กินเฉพาะโอกาสพิเศษ” จึงต้องอาศัยเวลาสักพักในการปรับภาพลักษณ์ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น กรณีนี้ชี้ให้เห็นอย่างดีว่า แบรนด์ใหญ่ใช่ว่าจะตามไม่ทัน

.

การเติบโตไม่ได้หายไป…แต่มันเปลี่ยนทิศ

แบรนด์ใหญ่บางรายเริ่มเข้าใจเกมใหม่ และปรับตัวอย่างน่าสนใจ เช่น เปลี่ยนกลยุทธ์จากการเน้นเมนูหรูที่กินเป็นกลุ่ม สู่เมนูง่าย ๆ ที่กินคนเดียวได้ ลดขนาดหน้าร้าน ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า ปล่อยให้เดลิเวอรีเป็นหัวหอกหลักในการเข้าถึงลูกค้า และหันมาจับตลาด Everyday Integration หรือการกลายเป็นมื้อประจำวันในชีวิตของผู้คน ถึงแม้แบรนด์ใหญ่บางรายจะเสียพื้นที่ในตลาดบนให้กับแบรนด์เล็ก แต่พวกเขากลับสร้างพื้นที่ใหม่ในตลาด Mass ได้อย่างชาญฉลาด

.

ร้านใหม่เกิดไว ดับไว แต่แรงกระเพื่อมแรงกว่าที่คิด

ในยุคที่ “กระแส” มีพลังมากกว่า “ความเก่าแก่” ร้านอาหารที่ตั้งใจเปิดเพื่อตามเทรนด์มีอยู่มากมาย พวกเขาอาจไม่ได้หวังอยู่ในเกมระยะยาว แต่เข้ามา “โกยจังหวะ” ในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วพร้อมจะหายไปเมื่อกระแสจาง ผลก็คือ ร้านดั้งเดิมจำนวนไม่น้อย กลับต้องสูญเสียลูกค้าระยะสั้นให้กับผู้เล่นที่มาไวไปไวเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่พร้อมจะปรับตัวให้ทันกับคลื่นใหม่ที่เกิดขึ้นทุกสัปดาห์

.

การออกแบบร้าน สามารเป็นตัวพลิกเกมในปี 2568?

ถึงตรงนี้ หลายคนอาจมองไปที่กลยุทธ์เรื่องเมนู การตลาด หรือการตั้งราคาเป็นหลัก แต่ยังมีอีกหนึ่ง ปัจจัยที่มักถูกมองข้าม ทั้งที่มีพลังในการ “ชิงใจลูกค้า” ได้ตั้งแต่ยังไม่เปิดเมนูนั่นคือ “การออกแบบร้านที่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค” ในยุคที่ลูกค้าตัดสินใจจากภาพในมือถือก่อนมาร้านจริง บรรยากาศ คือจุดสร้าง “แรงดึงดูด” และ “ความต่าง” ที่ไม่ต้องพูดเยอะ ร้านอาหารที่ดีไซน์ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย มีโอกาสสร้าง “ประสบการณ์จำ” ที่ลูกค้าอยากบอกต่อ อยากกลับมา หรืออยากถ่ายรูปแชร์ ทั้งหมดคือทรัพย์สินทางอ้อมของแบรนด์ การออกแบบร้านในปี 2568 จึงไม่ใช่แค่ “สวย” แต่ต้อง “สื่อสาร” และ “แข่งขัน” ได้ด้วยตัวมันเอง และนี่คือจุดที่การเข้าใจทั้ง “ธุรกิจ” และ “การออกแบบ” ต้องมาทำงานร่วมกัน เพื่อให้ร้านอาหารไม่เพียงแค่รอด…แต่โดดเด่นในสนามที่กำลังเดือดขึ้นทุกวัน

.

อย่าให้ความเดือดเป็นเรื่องน่ากลัว แต่อย่าอยู่เฉยกับมัน

ฟังดูอาจเหมือนว่า “ตลาดนี้น่ากลัว” แต่ในความเป็นจริง มันคือ โอกาสทองสำหรับคนที่เข้าใจว่าโลกเปลี่ยนเร็ว และพร้อมจะเปลี่ยนไปพร้อมกับมัน ตลาดที่ร้อนแรงแบบนี้ คือสัญญาณว่า “คนยังอยากกิน ยังอยากลอง ยังพร้อมจ่าย แต่คุณต้องทำให้เขาอยาก ‘เลือกคุณ’” นี่ไม่ใช่ยุคที่ใครใหญ่ใครอยู่ แต่เป็นยุคของคนที่ “รู้จักมอง รู้จักปรับ และรู้จักเล่าเรื่อง”

.

ปีนี้เป็นเหมือนโอกาสครับ

2568 อาจเป็นปีที่ตลาดร้านอาหารดู “ดุ” และ “แรง” กว่าที่เคย แต่ถ้ามองให้ดี นี่คือปีที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทุกระดับ กลับมาออกแบบเส้นทางของตัวเองใหม่อีกครั้ง ใครพร้อม “ยืดหยุ่นและขยับเร็ว” จะเป็นคนที่อยู่รอดได้ ไม่ว่าจะอยู่ในซอยลึก หรืออยู่กลางห้าง และนี่อาจเป็นปีที่ธุรกิจร้านอาหารจะไม่ได้โตแค่ในแง่ตัวเลข แต่โตในมุมของการ “คิดให้ลึก” และ “เดินให้ไว” มากกว่าที่เคย

________________________________________________________________________________
Decco Go Spark สร้างสรรค์พื้นที่ ส่งเสริมมูลค่า ในทุกมิติ สปาร์คเนื้อหาดี๊ดี เพราะเรื่องพื้นที่เราจะหยิบมาแชร์

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่